วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาพ สถานที่ท่องเที่ยว และ ประเพณีต่างๆ










ประเพณีและวัฒนธรรมเมืองน่าน

          เมืองน่านเป็นเมืองหนึ่งในดินแดนล้านนาที่พระพุทธศาสนาเผยแผ่มาถึงเป็นเวลาช้านาน ในเขตเมืองเก่า ทั้งในตัวเมืองน่าน และที่อำเภอปัวจะมีพระธาตุตั้งอยู่บนเนินเขาเด่นเป็นสง่า 

ประเพณีปี๋ใหม่เมือง (เทศกาลสงกรานต์)
น่าน มีประเพณีปี๋ใหม่เมืองเหมือนจังหวัดล้านนาททั่วๆ ไป แต่แปลกที่เมืองเดียวกัน บ้านเดียวกัน มีลักษณะทำบุญต่างกันมาก โดยมีรายละเอียดกล่าวคือ
- 13 เมษายน คือ "วันล่อง" เดิมวันนี้ ส่งเคราะห์บ้านและร่วมกันพัฒนาเก็บกวาดบ้านเรือน วัดวาอาราม เตรียมสิ่งของทำบุญ
- 14 เมษายน คือ "วันเนา" จัดเตรียมอาหาร ขนม เพื่อจะได้ไปทำบุญทานขันข้าวให้ผู้ที่ล่วงลับ ขนทรายเข้าวัด
- 15 เมษายน คือ "วันพญาวัน" มีการสรงน้ำพระคารวะพระสงฆ์ เรียนครู เรียนบาสัมมาคารวะผู้เฒ่าผู้แก่ ถือเป็นวันดีที่สุด ตอนบ่ายมีการทำบุญทักษิณานุปาทานแก่บรรพบุรุษ แต่ถ้าคนชุมชนเขตเทศบาลเมืองน่าน หรืออำเภอเมืองจะไปขนทรายในวันนี้ 
- 16 เมษายน คือ "วันปากปี" เป็นวันเถลิงศก ผู้คนจะจุดบอกไฟ(บั้งไฟ) ถวายพระเจ้าทองทิพย์ วัดสวนตาล และสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งด้วยกัน แต่ละศรัทธาหมู่บ้านจะรวมตัวกันวัดสวนตาล เพื่อแห่ขบวนนางสงกรานต์ บอกไฟและน้ำอบน้ำหอมไปสรงพระเจ้าทองทิพย์วัดสวนตาล 
- 17 เมษายน คือ "วันปี๋ใหม่" วันที่ทุกคนรวมตัวกันเพื่อนำดอกไม้ น้ำอบน้ำหอมไปสัมมาคารวะญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือในละแวกหมู่บ้าน ตำบลและญาติใครญาติมัน พบปะกินหอมตอมม่วนกันอย่างเข่าชนเข่า 

ประเพณีงานตานก๋วยสลาก (การทำบุญถวายทานสลากภัต) 
งานแห่คัวตาน หรือครัวทาน ทานสลาก หรือก๋วยสลากเป็นประเพณีเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สลากภัตเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เหนือ ประมาณเดือน กันยายน คือหลังจากเข้าพรรษาได้ ๒ เดือนพอดีเป็นต้นไปจนถึงออกพรรษา ไปอีกตามระยะเวลาอันสมควรจะมีประเพณีกินสลากหรือตานสลากภัต สำหรับชาวเหนือถือว่า เป็นประเพณีทำบุญกลางบ้านที่ยิ่งใหญ่และสำคัญเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น พระภิกษุรับนิมนต์เพื่อมารับการถวายทานโดยการจับสลาก โดยถ้าอยู่ใกล้ติดแม่น้ำน่านก็จะมีการแข่งเรือด้วย ถ้าไม่มีแม่น้ำก็ไม่มีการแข่งเรือจะมีการประกวดครัวตาน 

สลากเมืองน่านแบ่งเป็น ๓ อย่างด้วยกันคือ
- สลากสร้อย ต้นสลากใหญ่มีครบเกือบทุกอย่าง
- สลากโชค สลากที่มีความพิเศษเพียบพร้อมด้วยวัตถุ รวมถึงปัจจัยพิเศษ
- สลากน้อย สลากที่จัดเตรียมข้าวปลาอาหารส้มสูกลูกไม้ ห่อข้าว ของกิน และหมาก เมี่ยง พลู ขมิ้น ตะไคร้

หมายเหตุ : สลาก คือ เส้นหรือใบที่ผู้เป็นเจ้าของกัณฑ์สลากเขียนชื่อเจ้าภาพและอุทิศให้ผู้ตายนำไปรวมกันแล้วรวมมีจำนวนเท่าไหร่ นำจนำวนพระภิกษุ สามเณร หารแบ่งเท่ากัน ไม่มีการจับจองของใครคนโน้นคนนี้ จึงเรียกว่า "สลาก" หรือ การเสี่ยงโชคของผู้รับ 

งานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน ประเพณีแข่งเรือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานต่อมาใน 
พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้จัดให้มีการแข่งเรือในงานทอดกฐินสามัคคีสืบทอดมาจนถึงงานทอดกฐินพระราชทานในปัจจุบัน ราวกลางเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี โดยถือเอาวันเปิดสนามแข่งเรือตามวันถวายสลากภัตของวัดช้างค้ำวรวิหารซึ่งเป็นวัดหลวง จะจัดงานถวายสลากภัตก่อน งานแข่งเรือประเพณีจังหวัดน่านจึงเป็นประเพณีคู่กับตานก๋วยสลากของวัดช้างค้ำมาจนทุกวันนี้ ภายหลังทางจังหวัดได้ผนวกงานสมโภชงาช้างดำอันเป็นสมบัติล้ำค่าคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดน่านเข้าไปด้วย    นอกจากนั้นยังมีงานแข่งเรือที่อำเภอเวียงสาในเทศกาลตานก๋วยสลาก เรือที่เข้าแข่งแต่ละลำใช้ไม้ซุงใหญ่ ๆ เอามาขุดเป็นเรือ เอกลักษณ์โดดเด่นของเรือแข่งเมืองน่าน คือ ที่หัวเรือแกะเป็นรูปพญานาค ชูคอสง่างาม หางเรือเป็นหางพญานาคงอนสูง ด้วยคนเมืองน่านเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนคือ เจ้าขุนนุ่น ขุนฟอง เกิดจากไข่พญานาคเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ การต่อเรือแข่งเป็นรูปพญานาคจึงถือเป็นการบูชาบุญคุณพญานาคผู้เป็นเจ้าแห่งน้ำและบรรพบุรุษของชาวเมืองน่าน ประเภทการแข่งขัน มีทั้งเรือใหญ่ เรือกลาง และเรือเล็ก รวมทั้งประเภทสวยงาม นอกจากนี้ยังมีการประกวดกองเชียร์อีกด้วย และหากมาในช่วงซ้อมก่อนการแข่งขัน ตอนเย็น ๆ จะเห็นชาวบ้าน นักเรียนจับกลุ่มอยู่ริมน้ำเพื่อดูการซ้อมเรือ เชียร์ทีมเรือ และฝีพาย ที่เป็นคนท้องถิ่น เป็นวิถีชีวิตที่มีสีสัน และเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ นับเป็นประเพณีที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

งานเทศกาลส้มสีทองและงานกาชาดจังหวัดน่าน จัดขึ้นในเดือนธันวาคมของทุกปี บางปีอาจจัดร่วมกับเทศกาลของดีเมืองน่าน ส้มสีทองเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน พันธุ์เดียวกับส้มเขียวหวาน แต่ส้มสีทองจะมีเปลือกสีเหลืองทองสวยงาม และรสชาติหวานหอมอร่อยกว่า เป็นเพราะอิทธิพลของดินฟ้าอากาศคือ อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนต่างกัน ๘ องศา เป็นเหตุให้สาร “คาร์ทีนอยพิคเมนท์” ในเปลือกส้มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีทองดังกล่าว กิจกรรมในงานที่น่าสนใจมีหลายอย่าง ได้แก่ การประกวดขบวนรถส้มสีทอง การออกร้านนิทรรศการ การจำหน่ายสินค้าหัตถกรรมจากอำเภอต่าง ๆ และจากเมืองฮ่อน-หงสา สปป.ลาว การแสดงพื้นเมืองและมหรสพต่าง ๆ อีกมากมาย

http://www.lannatouring.com/Nan/Destination-guide/Nan-Festival.htm

สถานที่ท่องเที่ยว จ.น่าน

อุทยานแห่งชาติดอยภูคา



















บ่อเกลือสินเธาว์



เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ


http://travel.kapook.com/view7171.html







ศิลปะและโบราณสถาน


วัดหนองบ้ว บ้านหนองบัว อ. ท่าวังผา
















วัดพระธาตุแช่แห้ง 



วัดภูมินทร์







http://123.242.178.83/webjo/index.php?option=com_content&view=category&id=7&Itemid=6



ประวัติเมืองน่าน

    
 

            
           หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในบริเวณจังหวัดน่าน เช่น เครื่องมือหิน กลองสัมฤทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีศพสำหรับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ เป็นเครื่องยืนยันว่าดินแดนนี้มีมนุษย์มาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ก่อนสมัย ประวัติศาสตร์ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ขุนน่าน และ ขุนฟอง ได้นำผู้คนอพยพจากตอนบนของแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานยังที่ราบลุ่มตอนบนของแม่ น้ำน่าน ใกล้กับเทือกเขาดอยภูคา และในปี พ.ศ. 1902 เจ้าพระยาการเมืองย้ายเมืองไปยังเวียงภูเพียงแช่แห้งฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ น่านซึ่งไม่ได้ใหญ่กว่าหรืออุดมสมบูรณ์กว่าเมืองปัวแต่ใกล้กับเมืองสุโข ทัยมากขึ้น 

          ในปี พ.ศ. 1911 เจ้าพระยาผากองบุตรของเจ้าพระยาการเมืองได้ย้ายเมืองมายังฝั่งตะวันตกของ แม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นเมืองน่านในปัจจุบัน ตามศิลาจารึกหลักที่ 45 และ 46 ในปี พ.ศ. 1935 ปู่พระยา (เจ้าพระยาผากอง) และพระราชนัดดา (พระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย) ได้ให้คำสาบานที่จะช่วยเหลือกันและกันในยามสงคราม ความสัมพันธ์ระหว่างน่านและสุโขทัยได้ดำเนินมาจนกระทั่งสุโขทัยผนวกเข้ากับ อยุธยา ในปี พ.ศ. 1981

          เมืองน่านมีความสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับนครรัฐเล็กๆ รอบบ้าน เช่น หลวงพระบาง ล้านช้าง และสิบสองปันนา รัฐเหล่านี้มีความร่วมมือทางการเมืองอย่างเข้มแข็ง ทำการค้าขายกันตามเส้นทางแม่น้ำโขงด้วยคาราวานเกวียน

          ก่อนหน้าที่น่านจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งชองล้านนาทั้งสองดินแดนมีความ สัมพันธ์กันผ่านการค้าวัวต่าง และเมื่อเชียงใหม่ตกเป็นประเทศราชของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่า ในระหว่างปี พ.ศ.2096-2101 เจ้าพระยาพลเทพรือชัย เจ้าเมืองน่านได้หลบหนีไปยังเมืองหลวงพระบาง และน่านตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310

          ระหว่างปีพ.ศ. 2101 - 2317 น่านพยายามต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากพม่าหลายครั้ง ในปี พ.ศ. 2246 ถือว่าเป็นช่วงเวลาทุกข์เข็ญ ผู้คนต้องหลบหนีสงครามเข้าป่า บางคนถูกจับเป็นเชลยในพม่า ทั้งเมืองและวัดถูกเผาทำลายลง ในปี พ.ศ. 2331 เจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าหลวงเมืองน่าน หันมาสวามิภักดิ์กรุงเทพฯ (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1) เมื่อ พ.ศ.2333 น่านเริ่มนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" มีการอพยพ ชาวไทลื้อจำนวนมากกลับสู่เมืองน่าน

          ในสมัยรัชกาลที่ 5 กรุงเทพฯถูกคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสได้ก่อให้เกิด การปฏิรูปการปกครองหัวเมืองล้านนา เพื่อรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง ตั้งแต่ พ.ศ.2435 รัฐบาลกลางกรุงเทพฯได้แต่งตั้งข้าหลวงเข้ามาแทนคณะขุนนางผู้ช่วยเจ้า ผู้ครองนครในการบริหารกิจการบ้านเมือง หลังจากเหตุการณ์ร.ศ.112 (พ.ศ.2436) ไทยต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศส เมืองน่านจึงเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในฐานะเมืองหน้าด่านติดกับเมืองหลวงพระ บางในลาว ซึ่งเป็นของฝรั่งเศส ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองน่านกับกรุงเทพฯดำเนินไปด้วยดี รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชเป็นพระเจ้า สุริยพงษ์ผริตเดชเพื่อตอบแทนคุณงามความดีที่น่านช่วยกรุงเทพฯในสงครามปราบ กบฏที่เชียงตุง

          นครเมืองน่านกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 หลังจากเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่กรรมในปีพ.ศ. 2474 จึงยกเลิกระบบการปกครอง
โดยเจ้าผู้ครองนครนับแต่นั้นเป็นต้นมา

http://travel.kapook.com/view7171.html